เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ก.พ. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาพระเราบวชแล้ว เห็นไหม ความเป็นอยู่มันมาจากไหน มันมาจากพระพุทธเจ้าวางไว้นะ เรากินบุญของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้วนะ จะบิณฑบาตอย่างไร ย้อนเลยนะ ว่าประเพณีของพระพุทธเจ้าทำกันอย่างไร เทวดามาถวายบาตร ๔ ใบ แล้วยุบรวมให้เหลือใบเดียว แล้วออกบิณฑบาต

พระเจ้าสุทโธทนะ..พ่อ ศรัทธา เพราะลูกชายมีชื่อเสียงมาก เพราะว่าทั่วแว่นแคว้นเขารับรู้แล้วไง นิมนต์ไปเทศน์ไง ก็ถือวิสาสะว่าพ่อกับลูก นี่ไม่ได้นิมนต์ เห็นไหม พระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตไง พอออกบิณฑบาต โอ้โฮ พระเจ้าสุทโธทนะไปยืนขวางเลยนะ เพราะกษัตริย์ คิดดูสิกษัตริย์ สมัยนั้นยังไม่มีศาสนาเพราะศาสนาเพิ่งเผยแผ่ใช่ไหม พอออกไปบิณฑบาต

“ทำไมขายหน้าพ่อขนาดนี้ มาเดินขอทานอย่างนี้ได้อย่างไร?”

“เอ้า.. ก็พ่อไม่นิมนต์”

ถ้าพ่อนิมนต์ เห็นไหม เพราะจะถือตามสายเลือดว่าสถานะพ่อกับลูก ถ้าลูกมาเยี่ยมบ้าน ก็ต้องถือว่าต้องกลับบ้าน ก็ต้องไปฉันในบ้านไง แต่พ่อไม่ได้นิมนต์ เห็นไหม ไม่ได้นิมนต์ก็ไม่เข้าไป ก็ออกบิณฑบาต พอออกบิณฑบาต พระเจ้าสุทโธทนะโมโห มายืนขวางเลย นี่ฟังสิ โลกมองไง “ทำไมลูกทำขายหน้าพ่อขนาดนี้?”

แต่ถ้าเป็นศาสนานะ นี่สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราออกบิณฑบาตโดยไม่ได้หวังสิ่งใดๆ เลย ไม่เคยแนะสิ่งอะไร ถ้าพูดถึงอาหารที่เจาะจงให้ภิกษุนะ เนื้อ ๓ ส่วน เจาะจงฆ่าเพื่อภิกษุ ภิกษุรับรู้ เห็นไหม เวลากิจนิมนต์นะ ฉันเป็นอาบัติปาจิตตีย์หมดเลย

ของที่เขาได้มา เขาทำอาหารของเขา เขาจะทำอาหารของเขาเอาไว้กินของเขา แล้วเขาเจียดส่วนหนึ่งมาใส่บาตร มันเป็นเรื่องเจตนา เรื่องน้ำใจ ไม่ใช่เรื่องธุรกิจเลย เป็นเรื่องน้ำใจล้วนๆ เห็นไหม นี่ประเพณี พระพุทธเจ้าวางศาสนาไว้

แล้วพระพุทธเจ้านี่แสนมหาเศรษฐี ลาภสักการะนี้มหาศาลนะ ลาภสักการะนี้มหาศาล พระพุทธเจ้าใช้ประหยัด คนที่มีคุณธรรมในหัวใจจะประหยัดมัธยัสถ์ ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ฟุ่มเฟือย ดูพระอานนท์สิ เวลาเขาถวายผ้าจีวร ๕๐๐ ผืน ๕๐๐ ผืนนะ จนฝ่ายครอบครัวบอกว่า “ทำไมพระเห็นแก่ตัวขนาดนี้ ๕๐๐ ผืนนี่ใช้ได้อย่างไร?”

ไปถามพระอานนท์ เห็นไหม พระอานนท์ว่า

“ผ้านี่เอาไว้ทำไม?”

“เอาไว้แจกเจือจานภิกษุที่ไม่ค่อยมีลาภสักการะ”

“แล้วที่มีลาภสักการะ เขาก็มีจีวรอยู่แล้วทำอย่างไร?”

“ก็ถ่ายจีวรเก่านั้นออกไป”

“แล้วจีวรเก่าเอาไปทำอะไร?”

“เอาไปทำผ้าม่าน”

“แล้วถ้าผ้าม่านมันเปื่อย เอาไปทำอะไร?”

“เอาไปทำผ้าเช็ดเท้า”

“แล้วผ้าเช็ดเท้าเปื่อย เอาไปทำอะไร?”

“เอาไปตำ” สมัยโบราณมันสร้างกุฏิด้วยพอกด้วยดิน “เอาไปตำแล้วมาทาดิน” เห็นไหม

นี่คนมีคุณธรรมในหัวใจจะประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ใช่สุรุ่ยสุร่าย แต่โลกนี่นะ ธุรกิจบริการไง ต้องมีการบริการนะ จะกินข้าว จะทำอะไรต้องมีคนเทคแคร์ทั้งหมดเลย ต้องมีคนดูแลรักษา เห็นไหม นี่เรื่องของกิเลสกับธรรมตรงข้ามหมดเลย

ถ้าเรื่องของคุณธรรมนะ ดูสิ ดูหลวงปู่มั่นนะ สมัยสงครามโลก เห็นไหม ได้มาแสนทุกข์แสนยาก ผ้าไม่มี ทุกอย่างไม่มี แต่ได้ด้วยบุญ เวลาพระผ้าขาดต่างๆ พวกที่ศรัทธาเขาจะคิดถึงพระก่อน เขาอุตส่าห์หามาให้นะ หาก็ให้พระองค์ไหนที่ผ้าขาดก่อน

ดูหลวงตาสิ หลวงตานี่หาเงินให้โลกนี่เป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านนะ แต่ฟังไหมเวลาท่านเทศน์ออกมา เราฟังแล้วสลดใจมาก ท่านบอก “ท่านไปเดินดูแลวัด ไปเจอจานกระเบื้อง ไปเจอจานสังกะสี พวกโยมนี่เอาไปกินกัน แล้วไม่เก็บล้าง เอาไปทิ้งไว้นะ” ท่านไปเก็บมา ท่านไปเก็บมานะ เก็บมาให้พระดูว่าพวกเรานี่ไม่ดูแลรักษา ไอ้จานนะ เศษจาน ไอ้จานสังกะสี จานเก่าๆ นี่กินแล้วไม่รักษา

แล้วคุณสมบัติของท่าน คุณสมบัติของครูบาอาจารย์เรา พระอรหันต์นะ จิตใจนี่บริสุทธิ์ผุดผ่องเลย ไม่มีการเห็นแก่ตัวเลย เรื่องลาภสักการะนี่หาเงินเป็นแสนๆ หมื่นๆ ล้านให้กับโลกเขา แต่มันเรื่องความมัธยัสถ์ เรื่องความประหยัด ไม่ให้หัวใจรั่ว ถ้าหัวใจของเราเป็นคนดี ดีๆ จากใจ ไม่ใช่ดีจากสมบัติ สมบัติถ้าคนดี สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี

ถ้าสมบัตินะ คนเราไม่ดี สมบัตินั้นทำให้เราเสียคนได้ เห็นไหม ดูสิ ดูอย่างเด็กที่มาติดยาติดอะไร มันเอาเงินไปซื้อมานะ มันเอาเงินไปทำลายตัวมันเองนะ ทำลายหัวใจมันนะ ถ้าคนสุรุ่ยสุร่ายเป็นอย่างนั้น เห็นไหม เราก็คิดว่าสถานะทางสังคม สังคมต้องมีหัวโขน สังคมต้องมีสถานะ ต้องเท่าเทียมกัน เห็นไหม ธรรมนี่ประชาธิปไตย ใครมาก็ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย.. ธรรมาธิปไตยเว้ย!

ครูบาอาจารย์ของเรา เป็นผู้อาวุโสยืนอยู่ ผู้ที่ภันเตนะ ผู้ที่ต่ำกว่าใส่รองเท้าเข้ามาภายใน ๖ ก้าว เห็นไหม นี่เป็นอาบัติทุกกฏ เป็นอาบัติหมดเลยนะ อาวุโสนั่งอยู่หน้า ภันเตมาถึง ถ้ามานั่งโดยไม่ขออนุญาตเป็นอาบัติทุกกฏ

สิ่งนี้มันเป็นธรรมวินัย เราต้องศึกษาธรรมวินัย ธรรมวินัยนี่มันเป็นระเบียบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันมาจากใจผู้บริสุทธิ์นะ พอมาจากใจผู้บริสุทธิ์จะเห็นว่าสิ่งใดหยาบสิ่งใดละเอียด

ไอ้เรานี่มาจากโลกๆ มันมีแต่ความหยาบไง ความหยาบ เอาแต่วัตถุมาอวดกันมาโชว์กันไง วัตถุมันเร่าร้อนนะ มันทำให้เราไปเป็นขี้ข้ามันนะ ดูสิ เราสร้างบ้านใหญ่โตมหาศาลเลย เราก็นอนเฉพาะที่นอนเราเท่านั้นล่ะ แล้วเราเป็นขี้ข้ามัน สั่งเลย เอ็งต้องทำความสะอาดนะ เราต้องซกๆๆ ยอมจำนนกับมันตลอดเลย เพราะอะไร เพราะเราสร้างมาเพื่อสถานะทางสังคมไง สถานะทางสังคมทำให้เราทุกข์เรายาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “ภิกษุ.. ฉันเพื่อดำรงชีวิต” ดำรงชีวิตไว้เพื่ออะไร? เพื่อแสวงหาโมกขธรรม

โลกเขานะกินเพื่อกาม เพื่อเกียรติ เกียรติศักดิ์ศรีนี่มันกินเงินไปมาก เห็นไหม เพื่อดำรงชีวิต โลกเขากินของเขาเพื่อดำรงกาม ดำรงเกียรติของเขา แต่สมณะเรานี่ฉันเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้นนะ พอดำรงชีวิต เรานะออกบวช ออกมาจากโลกจะมาบวช พอบวชแล้ว โน่นก็เข้มไป นี่ก็ไม่ได้ เอาโลกเป็นใหญ่นะ ถ้าเอาโลกเป็นใหญ่หรือจะเอาธรรมเป็นใหญ่ ถ้าเอาโลกเป็นใหญ่นะ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยนะ “ก่อนจะเทศนาว่าการต้องขออนุญาตกิเลสก่อนนะ” พูดอย่างนี้ไม่ได้ มันสะเทือนหัวใจเขา ต้องขออนุญาตกิเลสก่อน ขออนุญาตในใจเราก่อนไง เพราะเราไม่กล้าพูดอะไรเข้าไปแทงใจเขา

แต่ครูบาอาจารย์เราสอนไว้นะ “กิเลสมันอยู่ที่ใจ พูดแทงเข้าไปที่กิเลสนั่นน่ะ พูดแทงเข้าไปแทงใจดำเขานั่นล่ะ นั่นล่ะมันสะเทือนกิเลส”

ถ้าได้สะเทือนกิเลสนะ ถ้าเราฟังธรรมแล้วขนพองขนลุก สิ่งนี้เรามีโอกาสนะ เพราะอะไร เพราะธรรมคือยา ธรรมคือธรรมโอสถ มันจะเข้าไปชำระกิเลส มันจะเข้าไปสะเทือนกิเลสเรา ถ้าสิ่งใดฟังแล้วนะ ขนพองขนลุกนะ โอ้..เราทำแล้วเสียใจทุกข์ใจ นั่นล่ะยามันเข้าไปชำระโรค ถ้ายามันชำระโรค คนๆ นั้นมีโอกาสนะ

แต่คนที่มันดื้อยาไง เทศน์กี่ปีกี่ชาติน่ะไม่ฟังเลย ฟังขนาดไหนก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวานั่นน่ะ นั่นล่ะมันดื้อยา โรคอย่างนี้แก้ได้ยากมาก ถ้าโรคที่มันสะเทือนหัวใจนะ มันมองนะ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ

“หูไม่ใช่หูกระทะ ตาไม่ใช่ตาไม้ไผ่ คนมีหูมีตามันต้องศึกษาได้”

คนมีหูมีตา มันมองมันเป็นระบบนี่มันไม่ยากเลย มันเป็นเรื่องของระบบ เราไปตามระบบ ของง่ายๆ เลย ทำไมทำไม่ได้? ทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันอีโก้ไง เพราะกิเลสไง เพราะตัวเองเข้าไปขัดขวางไง แล้วมันขัดขวางมาจากไหน ก็มันขัดขวางมาจากกิเลสเรา กิเลสของเรานี่มันขัดขวาง กิเลสของเรามันไม่ยอมรับ พอไม่ยอมรับแล้วมันเป็นระบบขึ้นมา ธรรมและวินัยเป็นสภาวะแบบนั้น

ธรรมและวินัยนี่เป็นระบบ ส่วนที่เป็นระบบ เห็นไหม เพื่อความสะอาด เพื่อความเป็นไปของเรา สิ่งนี้มันเป็นไปโดยธรรมวินัย ธรรมวินัยมันเกิดมาจากไหนล่ะ ธรรมวินัยมันเกิดมาจาก เห็นไหม เหมือนสติมันเกิดมาจากไหน สติเกิดมาจากใจ สติไม่ใช่ใจนะ ธรรมวินัยเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม แต่ถ้าเราทำขึ้นมาเป็นของเรานะ เราทำตามธรรมตามวินัยนี่ เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครูบาอาจารย์ท่านพูด เห็นไหม “เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป” เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปก็เหยียบหัวธรรมวินัยนี้ไปไง เหยียบหัวกฎกติกานี้ไปไง มันไม่ยอมรับไง มันเหยียบหัวไป มันเหยียบ.. กิเลสมันเหยียบใจมาก่อน แล้วการแสดงออกมาจากกิริยา มันก็ไปเหยียบธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง

แต่ถ้าทำตามธรรมวินัย จิตใจมันยอมรับ จิตใจมันอ่อนโยน เห็นไหม นี่จิตใจของผู้ที่มีกิเลสนะ มันยังดัดแปลงได้ขนาดนี้เลย แล้วใจของผู้ที่สะอาดนะ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ อาสวะสิ้นไป จิตเป็นผู้วิมุตติ ถ้าจิตวิมุตติไปแล้ว คำว่าจิตสุดสิ้นกระบวนการตรงนี้ พระอรหันต์ถึงไม่มีจิตไง พระอรหันต์มีแต่ภูมิธรรม ไม่มีจิต

ถ้ามีจิตนะ จิตนั้นเป็นภวาสวะ ครูบาอาจารย์ เห็นไหม จุดและต่อมนี่มันเป็นภวาสวะ จุดและต่อมคือภพ จุดและต่อมคือภวาสวะ จุดและต่อมคือตัวจิต ถ้าพระอรหันต์มีจิตอยู่ อาสเวหิ จิตฺตานิ จิตๆๆ จิตเป็นผู้ข้ามพ้น เห็นไหม พอข้ามพ้นไปแล้ว มันเป็นวิมุตติไปแล้ว มันเป็นสมมุติอีกไม่ได้ มันไม่มีสิ่งใดๆ ในหัวใจ มันสะอาดบริสุทธิ์ขนาดนั้น แล้ววางไว้ให้เป็นธรรมและวินัย

แล้วเราบวชเราเรียน เราบวชมาเราเป็นศากยบุตร เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กินบุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ชาวพุทธเรานี่ พระพุทธเจ้าวางมรดกตกทอดมาให้เรา แล้วเราบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานี่กินบุญอยู่นะ กินบุญ กินสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่นะ ที่สร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์แล้วตรัสรู้เองโดยชอบ นี่บารมีสูงส่งขนาดนี้ แล้ววางธรรมนะ วางพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกไว้ให้เรานะ แล้วเราก็พยายามแสวงหาอยู่นะ เราจะแสวงหาอยู่ เราต้องเปิดกว้าง พยายามเปิดกิเลสออกไปจากใจให้ได้

กิเลสนี่มันไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้นเลย ทั้งๆ ที่เข้ามาอย่างนี้ มันเป็นเรื่องที่ว่าไม่ใช่เรื่องเลย ไม่ใช่เรื่องเลย มันยังเป็นเรื่องได้เลย เห็นไหม กิเลสเป็นได้ขนาดนี้นะ แล้วถ้าตัวมันเองมันจะสร้างสมขนาดไหน ตัณหาความทะยานอยากในใจขนาดไหน

ในใจนี่มันสะสมมาก เห็นไหม มันถึงต้องเปิดผ่านๆ ออกไป ขนาดที่ถึงที่สุดแล้ว มันวิธีการนะ เราจะบอกว่าไอ้นั่นก็ไม่จำเป็น ไอ้นี่ก็ไม่จำเป็นนะ อะไรก็ไม่จำเป็นนะ แต่เวลาทุกข์ทำไมไม่บอกไม่จำเป็นล่ะ เวลาทุกข์นะ ดิ้นรนเดือดร้อนกระเสือกกระสนนะ แต่เวลาสิ่งที่จะไปแก้ไขไม่จำเป็นเลย อะไรก็ไม่จำเป็นเลย สิ่งที่จะไปแก้ไขนี่จำเป็น

ดูสิ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านสอน เห็นไหม “เก็บหอมรอมริบนะ” หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร เป็นพระอรหันต์ แล้วท่านดำรงชีวิตอย่างไร ดำรงชีวิตในป่ามาตลอด เกิดในป่า เกิดนะเกิดท่ามกลางมหาวิทยาลัยป่า เห็นไหม มหาวิทยาลัยป่าเพราะเราเข้าไปอยู่ในป่า มันจะมีความกดดัน ความมืดต่างๆ มันจะมีกดดันในหัวใจ มันความกลัวต่างๆ เห็นไหม

แต่เราไปอยู่ในความรื่นเริงใช่ไหม เราไม่ใช่สัตว์ ถ้าอยู่ในป่ามันเป็นพระอรหันต์นะ สัตว์นี่อยู่ในป่ามหาศาลเลย แต่เราเข้าไปเพื่อเอาสิ่งนี้เป็นสัปปายะ เป็นสิ่งแวดล้อม แล้วเราพยายามแก้ไขใจเรา เห็นไหม เกิดในป่า ตรัสรู้ในป่า แล้วจะตายในป่าด้วย

แต่ของเรานี่ เอาธรรมะมาเป็นฐาน แล้วจะเกิดในเมือง จะเกิดในโรงแรม จะเกิดในที่สุขสบาย กิเลสมันอ้างไปหมดนะ แล้วเดี๋ยวนี้เจริญแล้ว ทุกอย่างเจริญแล้ว ต้องไปเจริญ ถ้าเจริญทำไมไม่อยู่วัดบ้านล่ะ? ทำไมไม่อยู่ที่สะดวกสบายล่ะ? ทำไมต้องการประพฤติปฏิบัติล่ะ? ทำไมต้องขัดเกลากิเลสล่ะ?

ถ้าขัดเกลากิเลส สิ่งใดๆ แล้วอย่าขวาง อย่าขวางนะ อย่าเป็นทัพพีขวางหม้อ ต้องปล่อยให้มันไหลไปตามๆ นั้น อย่ามาขวางกัน ถ้าขวางกันนะมันเป็นปัญหาแน่นอน เป็นปัญหามาก ถ้าเป็นปัญหาเพราะอะไร? เพราะในใจของเรา เรายังต้องดูใจของเราเลย แล้วนี่ความเป็นไป เห็นไหม เขาจะเป็นไปอย่างนั้น แล้วเรามาขวางนะ นี่มันเป็นเรื่องหยาบมาก หยาบมาก เอวัง